คนของหัวใจเมื่อไหร่จะมาซะที
วันนี้ช่างเป็นวันที่วุ่นวายโดยแท้ทั้ง ๆ ที่มันเป็นเพียงแค่วันหมั้นเท่านั้นเอง ดูเหมือนทุกคนจะยิ้มแย้มแจ่มใสกับงานมงคลในวันนี้มาก ๆ เอาน่า... ทุกอย่างจะเรียบร้อยเอง และฉันก็จะได้กลับไปซุกหน้าอยู่กับจอคอมพิวเตอร์สู่โลกอินเตอร์เนต และออนเอ็มกับเพื่อนชาวไซเบอร์เสียที
“เอ้า... ฝ่ายชายสวมแหวนให้ฝ่ายหญิงได้แล้ว” เสียงเถ้าแก่ฝ่ายชายดังมา อาสะใภ้ของฉันจึงรีบสะกิดให้ขยับเข้าไปใกล้วงล้อมบ่าวสาวมากขึ้น
“ถ่ายรูปไว้ด้วยนะสาริน...” เสียงพ่อฝ่ายชายดังลั่นทำให้ฉันหันไปมองยังเจ้าของชื่อนั้นอย่างอดไม่ได้จึงต้องประสานสายตากับนายหน้าเข้มนั่นเข้าพอดีก่อนจะรีบหันหนีมาอย่างรวดเร็วทั้งที่ไม่รู้ว่าทำไมต้องทำอย่างนั้นด้วย
“สุเอาดอกไม้ให้พี่เขาสิ...” เสียงอาสะใภ้อีกคนดังเตือนมาทำให้ฉันหรือก็คือสุชีราน้องสาวของว่าที่เจ้าสาวรีบยื่นดอกกุหลาบสีแดงสดในพานไปให้พี่สาวเพื่อจะได้มอบให้ฝ่ายชายเป็นการรับหมั้น แล้วฉันก็รีบถอยออกมานั่งรวมกับอาสะใภ้ทันทีโดยที่แกรีบกระซิบกระซาบกับฉันอย่างสับสนว่า
“สุคนนี้เหรอว่าที่พี่เขยหลานน่ะ”
แกบุ้ยใบ้ไปทางภาพคู่หมั้นหนุ่มสาวก่อนจะหันสายตามองไปที่ตากล้องจำเป็นบ้างจนฉันต้องมองตามไปด้วยอีกคนอย่างอยากรู้ก่อนจะหัวเราะออกมาขำ ๆ ทั้งที่อาแก้วยังพูดไปเรื่อยว่า
“อานึกว่าพ่อคนนั้นซะอีกก็เลยคิดว่าเอ่อหล่อดี”
“ไม่ใช่หรอกค่ะ คนนั้นพี่ชายว่าที่เจ้าบ่าว” ฉันตอบกลั้วหัวเราะก่อนจะหันไปมองพิธีอีกครั้งก็พบเข้าสายตาคมกล้าของพ่อสุดหล่อของอาแก้วที่มองมาอยู่ก่อนแล้วอีกครั้งอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
มองทำไมนะ... ฉันแกล้งเฉยซะก่อนที่นายสารินอะไรนั่นจะหันไปสนใจกับหน้าที่ตากล้องเฉพาะกิจของเขาบ้าง กว่าพิธีการจะเสร็จลงก็เกือบเที่ยงวันเข้าไปแล้ว ฉันต้องขับรถพาอาสะใภ้ทั้งสองไปตลาดเพื่อเตรียมอาหารกลางวันเลี้ยงแขกฝ่ายชายขณะขับรถอยู่นั้นอาแก้วอีกนั่นแหละที่พูดขึ้นมาว่า
“นึกว่าคุณสารินอะไรนั่นซะอีกที่เป็นแฟนของมา”
แก่พูดถึงพี่มาหรือสิริมาพี่สาวฉันเอง
“ไม่ใช่หรอก...” อาภรณ์ตอบในขณะที่ฉันก็ยังเงียบอยู่สายตาจับจ้องอยู่ที่ท้องถนนเบื้องหน้า
“แล้วเขามีครอบครัวหรือยังล่ะ”
อาแก้วถามอีกแล้วเสียงอาภรณ์ก็ดังตอบมาว่า
“อุ้ย... ยังค่ะ”
ฉันเลยต่อให้ในใจว่า... แต่คงมีแฟนแล้วล่ะก็หน้าตาดีออกขนาดนั้น... เอ๋... นี่ฉันชมผู้ชายว่าหล่อหรือนี่... เพราะมัวแต่คิดเรื่อยเปื่อยจึงไม่ได้ยินถ้อยคำสนทนาของอาทั้งสองมาได้ยินคำพูดอาแก้วอีกทีก็ตรงประโยคที่ว่า
“ดีสิติดต่อให้ยัยสุเลย”
เอ่อดีนี่อะไรก็โยนมาให้ฉัน... ฉันคิดแต่ปากก็ตอบไปอย่างขี้เล่นว่า
“ดีค่ะจะได้ลงจากคานซะที” เพราะขืนต่อความด้วยคงไม่จบง่าย ๆ แน่ทั้งที่ตัวฉันเองก็ไม่น่าจะเรียกว่าขึ้นคานเลยเพราะฉันยังยี่สิบต้น ๆ เท่านั้น หลังจากนั้นทุกคนจึงเงียบไปเพราะถึงที่หมายด้วยนั่นเอง
เฮ้อ... วันหมั้นฉันต้องวิ่งวุ่นข้าวปลาไม่ได้กินเพราะเหนื่อยจัดทานอะไรไม่ลง ไหนจะต้องเก็บกวาดสถานที่ ไหนจะต้องพาคุณตาไปพบหมอที่คลีนิกแต่ทุกอย่างก็ผ่านพ้นไปได้ด้วยดีจนแขกทั้งหลายทยอยกันกลับไปหมด
ช่วงเย็นจึงเป็นโอกาสให้ฉันเล่นเนตได้ และออนเอ็มกับคุณอรดีเพื่อนนักเขียนซึ่งมีผลงานรวมเล่มแล้วในขณะที่ฉันยังโนเนมกินแห้วมารอบแล้วรอบเล่าหลังจากส่งงานไปให้สำนักพิมพ์ทั้งหลายแหล่พิจารณาแล้วหลายตลบ
‘วันนี้มีงานหมั้นของพี่สาวเลยเข้าเนตช้ากว่าทุกวันค่ะ’ ฉันพิมพ์ตัวหนังสือลงไปก่อนจะคลิกส่ง และรอคอยให้คุณอรดีตอบกลับมา
‘เหรอคะเป็นไงมั้ง’
‘ก็เหนื่อยดีค่ะ’
‘ไม่ใช่... ที่ถามน่ะว่าที่เจ้าบ่าวต่างหาก หล่อมั้ย’
‘ก็ดูดีค่ะ แต่ถ้าหล่อน่ะต้องพี่ชายว่าที่เจ้าบ่าว’
ก็อาแก้วแกบอกว่างั้นนี่นา แต่อะไรนะที่ทำให้ฉันเขียนลงไปยังงั้น อาจเป็นเพราะคิดว่าคุณอรดีคงไม่มีโอกาสมาประกาศวจนะของฉันที่มีต่อพ่อสารินคนดีของอาแก้วให้เจ้าตัวเขาได้ยินก็เป็นได้ทำให้ฉันกล้าเล่าให้เพื่อนบนเนตอย่างคุณอรดีฟัง
‘แหม... งั้นก็รีบโดดขึ้นรถไฟขบวนสุดท้ายเลยสิคะ (แซว ๆ)’
คุณอรดีแซวมาจนฉันต้องนั่งยิ้มน้อยยิ้มใหญ่กับหน้าจอคอมพิวเตอร์คล้ายคนบ้าก็ว่าได้เพราะฉันเคยบอกว่ายังโสดอยู่นั่นเอง ฉันเลยบอกกลับไปอย่างขี้เล่นว่า
‘ค่ะ เดี๋ยวจะรีบตะครุบเลยแต่คงต้องรองานวันแต่ง(อีกเดือนหนึ่ง)เพราะเขาอยู่คนละจังหวัดกับสุ’
เสียงผีเท้าของใครบางคนดังใกล้เข้ามาทำให้ฉันละสายตามาจากจอคอมพิวเตอร์หันไปมองอย่างสงสัย
“โอ๊ยยัยสุมาอยู่หน้าจอคอมอีกแล้ว” พี่มาดุฉันเบา ๆ แต่ไม่จริงจังนักเมื่อก้าวมาถึงตัวฉันหลังจากที่หล่อนออกไปทานข้าวกับคู่หมั้นมาก่อนจะพูดอีกว่า
“พงษ์มาแหนะ รออยู่ที่ระเบียงหน้าบ้าน”
“อ้าวเหรอ... มาทำไมคะ” ฉันถามสายตายังจับจ้องอยู่ที่หน้าจอคอมก่อนจะเคาะแป้นพิมพ์สี่ห้าทีด้วยข้อความว่า
‘เพื่อนมาต้องไปแล้วค่ะ’ คุณอรดีก็ตอบมาอย่างหยอกล้อว่า
‘เพื่อน?... ใช่คุณพงษ์ที่เคยเล่าให้ฟังว่ามาทุกอาทิตย์หรือเปล่าเอ่ย’
ฉันรู้ว่าอีกฝ่ายต้องการล้อเล่นแต่ไม่มีเวลาต่อล้อต่อเถียงกับหล่อนจึงตอบไปเพียงว่า
‘ค่ะ บายน่ะคะ’
แล้วฉันก็ออกจากเนตทันทีก่อนจะก้าวไปยังระเบียงที่พี่มาบอกว่าพงษ์รออยู่
เขานั่งรออยู่อย่างใจเย็นซึ่งมันเป็นเช่นนี้เสมอพร้อมใบหน้ายิ้มแย้มส่งมาให้เช่นเคย พงษ์เป็นอาจารย์อยู่ที่โรงเรียนประถมอีกอำเภอหนึ่งซึ่งคบหาเป็นเพื่อนกับฉันมานานมากนับตั้งแต่เราเข้าเรียนชั้นมัธยมศึกษากระทั่งเราเอ็นติดเข้าไปเรียนต่อในสถาบันแห่งหนึ่งในระดับอุดมศึกษาแค่นั้นยังไม่พอยังตามฉันไปเรียบที่คณะ และสาขาวิชาเดียวกันอีกด้วย
“มีอะไรรึเปล่าพงษ์” ฉันถามเหมือนทุกครั้งที่เขามาจนบางครั้งพ่อ และแม่ก็อดต่อว่าฉันไม่ได้ที่พูดจากับ
เพื่อนผิดวิสัยหญิงยังงี้แต่มันเป็นเรื่องช่วยไม่ได้นี่นาที่ฉันจะมีพฤติกรรมอย่างว่าก็เพราะเรารู้จักกันมานานเห็นไส้
เห็นพุงกันแทบทุกขดจะมาให้สงวนท่าทีเป็นกุลสตรีดีเด่นได้ยังไงไหว
“มีเรื่องมาขอร้อง” เขาว่าสายตามองมาเหมือนไม่ได้เห็นฉันมานานยังงั้นแหละทั้งที่มาแทบทุกอาทิตย์ก็
ว่าได้
“อยากย้ายกลับแต่ไม่มีตำแหน่งว่างเลยคิดจะสอบแล้วโอนตำแหน่งเอา” เขายังพูดไปเรื่อย
“ก็ดีแล้วนี่” ฉันเอ่ยบ้างก่อนจะทรุดนั่งลงที่ม้านั่งข้าง ๆ เขาพร้อมด้วยถาดน้ำเย็นที่ยกติดมือมาด้วยนั้น
“ก็อยากจะให้สุช่วยติวให้”
“หว่าย... ไม่เอานะฉันล้างมือเอ๊ยวางมือจากตำรับตำรามานานแล้วนายก็รู้” ในใจก็นึกไปว่าประสาทหรือเปล่าหมอนี่จะให้ฉันที่ไม่ได้จับตำราเรียนมาหลายปีติวให้เพราะตั้งแต่เลิกเป็นครูอัตราจ้างฉันก็ยังไม่ได้แตะงานสอนอื่นใดอีกเลยหันมาก้มหน้าก้มตาเขียนหนังสืออย่างเดียว นี่ฉันมีเพื่อนบ้าบวมขนาดนี้เชียว... คิดแล้วก็ได้แต่ปวดเศียรเวียนเกล้ากับคนตรงหน้า
“แหม... ก็ฉันสอนประถมตลอดไม่เคยใช้วิชาเอกสอนเลย แล้วไอ้ที่เรียนมามันก็เข้าหม้อหมดแล้วอย่างน้อยเธอก็เคยสอนมาแล้ว น่านะช่วยหน่อยนะ”
ยังกับความรู้ของฉันมันคงกะพันชาตรียังงั้นแหละ... แต่เฮ้อ... ก็เล่นอ้อนวอนซะขนาดนี้จะให้ฉันปฏิเสธเสียงแข็งได้ยังไงจึงได้แต่พยักหน้าหงึก ๆ ไปตามเรื่องปากก็ว่า
“เอ่อ ๆ พรุ่งนี้ก็มาแต่เช้าก็แล้วกัน” ฉันคงต้องงดเล่นเนต และเขียนนิยายสักวันล่ะนะ..
แล้วพงษ์ก็ยิ้มแป้นหน้าบานยิ่งกว่าจานดาวเทียมจนฉันอดแปลกใจไม่ได้ว่านี่มันสีหน้าคนกลุ้มหนักเพราะจะเตรียมสอบแน่หรือ
เขาอยู่คุยกับฉันพักใหญ่ก็ขอตัวกลับไปส่วนฉันก็กำลังจะเข้าเนตอีกครั้งแต่พอดีมีโทรศัพท์เข้ามาเสียก่อนเป็นสายจากป้าแดงซึ่งเป็นพี่สาวพ่อฉันเอง และแกโทรมาบอกว่าลุงพรสามีแกถูกรถชนทำให้ครอบครัวฉันต้องไปเยี่ยมในวันพรุ่งนี้ ฉันจึงต้องโทรไปยกเลิกนัดกับพงษ์จนได้ แต่แหม... ในใจก็อดรู้สึกโล่งอกยังไงบอกไม่ถูกแฮะคงเป็นเพราะไม่ต้องติววิชาที่ทิ้งมานานแล้วกระมัง
“เหรอ... งั้นไม่เป็นไรขอให้ลุงพรหายเร็ว ๆ นะ”
น้ำเสียงของเขาที่ดังมาตามสายฟังดูหงอย ๆ ชอบกลแต่ฉันก็ไม่ได้ติดใจสงสัยอะไร จากวันนั้นก็นานหลายวันจนกระทั่งเขาเดินทางไปสอบ และพงษ์ก็มาเล่าให้ฉันฟังว่าเขาทำข้อสอบไม่ได้เลยฉันก็ได้แต่ปลอบใจแม้จะรู้สึกผิดนิด ๆ ที่ไม่ได้ติวให้เขาแต่มาคิดอีกทีไม่แน่ยิ่งถ้าฉันติวให้เขาอาจสลบเหมือดตั้งแต่เห็นข้อสอบเลยก็ได้ใครจะรู้
ในที่สุดวันแต่งงานของพี่มาก็มาถึงจนได้...
ฉันถูกจับให้เป็นเพื่อนเจ้าสาวทั้ง ๆ ที่ปฏิเสธแล้วหัวชนฝาแต่ถึงจะชนจนเลือดโชกมีแผลเหวอะหวะซะขนาดไหนลุงป้าน้าอาก็ยังยืนยันนอนยันให้ฉันรับหน้าที่นี้จนได้ เฮ้อ... ที่ไม่อยากเป็นก็เพราะอายเพื่อนซึ่งจะมาร่วมงานหรอกแล้วก็เคยซะที่ไหนแต่งตัวแต่งหน้าโปสการ์ดขนาดนี้
“เฮ้ย... ไอ้สุแกจริง ๆ หรือวะเนี่ย” เสียงเอกองค์เพื่อนรักของพงษ์ดังขึ้นมาอย่างล้อเลียนเมื่อเห็นภาพฉันใกล้ ๆ ท่ามกลางแสงไฟสลัวของงานกลางแจ้งหลังจากที่ฉันเดินไปเดินมากับคู่บ่าวสาวในงานอยู่พักหนึ่งแล้วแวบมาที่โต๊ะของเพื่อน ๆ เพราะความคิดถึงนาน ๆ จะเจอกันที โชคดีที่เป็นต้นเดือนเมษาหน้าร้อนจึงไม่ต้องกลัวสายฝนจะหล่นลงมาถล่มงานแต่อย่างใด
“นายไม่ต้องพูดเลยฉันยังโกรธไม่หายนะที่โทรมาอำว่าตัวเองเป็นบก.สำนักพิมพ์แล้วสนใจงานเขียนของฉันน่ะ” ฉันแว้ดเสียงดังอย่างไม่เกรงใจ ก็ใช้ได้ที่ไหนเอาความฝันของฉันมาล้อเล่นแบบนี้ แล้วก็ไม่ใช่เพราะเจ้าเพื่อนบ้าคนนี้หรอกหรือที่ทำเอาหัวใจเกือบวายตายเพราะมันเต้นแรงเกินพิกัดด้วยความดีใจสุดขีดกลั้นเมื่อนึกว่าจะได้แจ้งเกิดในวงการขีด ๆ เขียน ๆ ซะทีหลังจากที่กินแห้วมาแล้วหลายกระป๋อง
หน้าตี๋ ๆ ของนายเอกองค์สลดวูบลงทันทีเมื่อสิ้นคำต่อว่าต่อขานจากฉัน แต่ฉันไม่สงสารให้เสียเวลา
หรอกเพราะรู้นิสัยนายคนนี้ดีว่าชอบอำขนาดหนัก แล้วก็เป็นจริงอย่างที่คิดไว้เมื่อฉันไม่สนใจเขาเอกองค์ก็หันมายิ้มประจบอย่างขอโทษขอโพยให้วุ่นไปหมด ฉันจึงหันไปเอ่ยกับวาลีภรรยาของเขาแทนว่า
“ลีต้องจัดการให้หลาบจำนะ”
“จ้า...” วาลีเอ่ยยิ้ม ๆ ก่อนจะหันไปจ้องสามีของตนตาเขียวปัด ฉันไม่รู้หรอกว่าวาลีรู้เรื่องที่สามีตัวดีของหล่อนอำฉันหรือเปล่า และฉันก็ไม่สนด้วยตราบใดที่เอกองค์ถูกแม่บ้านของเขาจัดการเสียบ้าง ค่อยหายแค้นใจหน่อย... คิดแล้วก็แอบยิ้มขำเจ้าเพื่อนตัวดีในใจเงียบ ๆ คนเดียวซะเลย
“โอ๊ย!... กลัวแล้วแม่จ๋า” เสียงร้องของเอกองค์ดังลั่นแต่ไม่ใช่เพราะความกลัวที่มีต่อวาลีหรอกหากเป็นเพราะเขาชอบทำตลกคะนองอย่างนี้ต่างหากล่ะเลยพลอยทำให้เพื่อน ๆ ทุกคนหัวเราะชอบใจกันอย่างครื้นเครง อะไรบางอย่างทางหางตาทำให้ฉันหันไปมองโต๊ะข้าง ๆ และแล้วก็ต้องพบเข้ากับพี่เจ้าบ่าวเอ๊ยคุณสารินซึ่งมองมายิ้ม ๆ เข้าพอดี
คิ้วของฉันขมวดมุ่น แล้วนี่เขาจะมองหาอะไรนะ... ก็เขาเล่นมองมาที่โต๊ะของเรา เอ... หรือจะที่ฉันหว่า... ช่างเถอะ... ฉันรีบปัดความคิดเลื่อนเปื้อนนั้นทิ้งไปก่อนจะรีบก้าวฉับ ๆ ไปตามเสียงเรียกของอาแก้วซึ่งร้องบอกให้ฉันไปช่วยเจ้าบ่าวเจ้าสาวต้อนรับแขกที่มาร่วมงาน ณ บริเวณทางเข้านั่นเอง กว่าเจ้าบ่าวเจ้าสาวจะได้ กฤษ์ย้ายจากบริเวณดังกล่าวมาโชว์ตัวอยู่บนเวทีเพื่อขอบคุณแขกผู้มีเกียรติทั้งหลายก็เล่นเอาฉันเมื่อยน่องแทบก้าวขาไม่ออกเลยทีเดียว แต่เมื่อความต้องการทางกายเรียกร้องให้ต้องปลดปล่อยฉันจึงรีบจ้ำอ้าวไปห้องน้ำทันทีก่อนที่จะไม่มีโอกาสอีก
เมื่อก้าวห่างออกมาจากสุขาอีกครั้งหลังจากเสร็จกิจฉันก็พบเข้ากับพงษ์ซึ่งเมาแอ๋แทบยืนไม่ตรงรอท่าอยู่แล้วอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนเลย ความรู้สึกแรกของฉันนั้นเป็นห่วงเขานิด ๆ จึงเอ่ยออกไปว่า
“พงษ์เมาแล้วนี่ไปฉันจะพาไปหาเอกองค์นะ”
แต่คนเมาตรงหน้าแรงเยอะเหลือเกินปัดมือฉันออกก่อนจะดันไหล่ฉันไปจนหลังชนเข้ากับผนังแล้วเบียดร่างของเขามากักตัวฉันไว้ตรงนั้นอย่างรวดเร็วแถมแน่นหนาจนฉันรู้สึกอึดอัด และตกใจเล็กน้อย เอาล่ะสิ... หัวใจเริ่มรู้สึกกลัว ๆ ปอด ๆ ขึ้นมาอย่างไร้สาเหตุเพราะพฤติกรรมของเพื่อนรักดูแปลกไปจากเดิมจนน่าหวั่นวิตก
“พะ... พงษ์...” ฉันเอ่ยตะกุกตะกักพยายามจะเตือนสติเขา
“ฉานม่ายด้ายมาวนะ...”
เอ่อ... ไม่เมาแต่เสียงป้อแป้เต็มทนนะพ่อคุณ... แล้วนี่เขาต้องการอะไรจากฉันกันล่ะ คิดพลางขืนตัวให้หลุดจากการเกาะกุมของเขาแต่มันไม่ได้ผล
“อ้ายเอกมานบอกห่ายฉานกินย้อมจาย...”
คิ้วฉันขมวดเป็นปมหนักขึ้น ย้อมใจ... ย้อมทำบ้าอะไรล่ะ... ขณะที่ฉันมัวแต่คิดหาคำตอบการกระทำของพงษ์อยู่นั้นมือหนาของเขาก็คว้าหมับเข้าที่มือทั้งสองของฉันไปกุมไว้แน่นก่อนจะยกขึ้นไปจุมพิตเบา ๆ โดยไม่สนใจเลยว่าฉนจะพยายามขืนตัวต้านแรงของเขาเอาไว้สุดฤทธิ์แค่ไหนถึงผลสุดท้ายมันจะไม่มีประโยชน์ก็เถอะ
ใช่... ในนิยาย และละครน้ำเน่าต้องเหยียบเท้าไม่ก็กระแทกเข่าใส่ที่จุดยุทธศาสตร์ แต่เพราะความตก
ใจกับการกระทำของเพื่อนตัวดีทำให้ความรู้ในทางทฤษฎีนั้นกระเจิดกระเจิงไปจากสมองจนหมดสิ้น... ความรู้สึก
ต่อมาหลังจากอาการมึนงงเป็นไก่ตาแตกหายไปก็คือโกรธจนลมออกหูนั่นเอง หัวใจที่เต้นกระหน่ำอยู่ตอนนี้มี
ทั้งความขุ่นเคืองสับสนระคนเสียใจ และเสียความรู้สึกมั่วกันไปหมด...
ถึงจะเป็นเพื่อนก็เถอะมาทำรุ่มร่ามแบบนี้ใช้ได้ที่ไหน!... แต่ฉันจะทำอะไรได้ในเมื่อมือทั้งสองยังถูกเขา
เกาะกุมไว้แน่นซ้ำมิหนำไอ้ชุดกระโปรงบ้า ๆ นี่ก็ทำให้ขยับแข้งขาลำบากจะตายชัก และที่ร้ายกาจยิ่งกว่านั้นอีกก็
คือตอนนี้ใบหน้าของพงษ์กำลังก้มต่ำของลงมาหาริมฝีปากฉันแล้วจนได้กลิ่นแอลกอฮอล์เหม็นจัดแทบสำลักลมหายใจของเขา!...
โอ๊ยแม่เจ้า!... ฉันได้แต่หลับตาปี๋ก้มหน้าให้ต่ำที่สุดจนคางจรดกับหน้าอกตัวเองเพื่อหลบให้พ้นริมฝีปากกระด้างของเขาพลางดึงมือกลับอย่างตกใจสุด ๆ โดยไม่ใส่ใจฟังสิ่งที่พงษ์พูดออกมาเลยแม้แต่น้อย
“ฉานรักเธอนะสุ รักมาตาลอด รักมาตั้งแต่สมัยเรียนมัธยมแล้ว...”
ขณะที่เขาพูดจาเสียงยานคางเพราะฤทธิ์เหล้าอยู่นั้นจู่ ๆ ร่างหนาของพงษ์ที่เบียดชิดอยู่กับร่างฉันในเงามืดก็ราวกับถูกใครบางคนกระชากออกไปอย่างแรง ฉันรีบลืมตาขึ้นมาอีกครั้งอย่างแปลกใจทั้งที่หัวใจยังเต้นระส่ำด้วยความตื่นกลัวก่อนที่เสียง
ผัวะ... จะดังตามมาแล้วร่างของพงษ์ก็ลงไปนอนเค้เก้อยู่ที่พื้นตามลำดับ
“คะ... คุณสาริน!” ฉันกระซิบระรัวด้วยความประหลาดใจไม่คิดว่าเขาจะมาอยู่ที่นี่ได้
คุณสารินจ้องเขม็งไปที่พงษ์อย่างเดือดดาล แววตาที่เคยนิ่งสนิทแลดูรื่นรมย์อยู่เสมอของเขาคล้ายกับมีประกายไฟวิ่งแลบขึ้นมายังงั้นแหละพลอยทำให้ฉันรู้สึกหวาด ๆ ขึ้นมาด้วยอีกคน
พงษ์ขยับลุกขึ้นอย่างไม่มั่นคงนักขณะใช้หลังมือเช็ดมุมปากที่แตกยับจนเลือดซิบของตนก่อนจะละสายตาตื่นตระหนกจากเจ้าของกำปั้นหนัก ๆ นั้นมามองที่ฉันนิดหนึ่งซึ่งเสี้ยววินาทีนั้นเองฉันคิดว่ามองเห็นความเสียใจในแววตาของเขาแล้วพงษ์ก็ก้าวจากไปทันทีทิ้งให้ฉันอยู่กับพี่เจ้าบ่าวเพียงลำพัง
“เอ่อ...” ตอนนี้ฉันถูกอาการใบ้กินซะแล้ว เพราะอายที่คนตรงหน้ามาพบเห็นเหตุการณ์แย่ ๆ ครั้งนี้ด้วยเลยไม่รู้จะพูดอะไรกับเขาดี
“ผมคงไม่ได้มาขัดจังหวะนะ”
เพราะคำพูดบ้า ๆ นั่นของเขาทำให้ฉันตวัดสายตามองไปที่คนพูดอย่างไม่พอใจ ความตกใจแปรเปลี่ยนเป็นความหงุดหงิดแทน คิดได้ยังไงนะตาคนนี้!... แต่เมื่อมองเห็นแววล้อเลียนในดวงตาคมกล้าคู่นั้นของเขาฉันจึงได้แต่กะพริบตาปริบ ๆ ปากก็อ้อมแอ้มออกไปอย่างกระดากว่า
“ไม่ค่ะ...”
“งั้นก็มาเถอะอาสะใภ้คุณกำลังหาเพื่อนจ้าวสาวอยู่”
แล้วเขาก็เอื้อมมือมาคว้ามือฉันพร้อมกับรั้งให้ก้าวตามไปอย่างนุ่มนวลโดยไม่ถามความเห็นฉันเลยสักนิดเดียว...
หลังจากวันแต่งงานอีตาสารินก็แวะเวียนมาบ้านน้องสะใภ้เป็นว่าเล่นซึ่งพี่มายังอาศัยอยู่กับพ่อแม่เหมือนเดิม และฉันก็ยังอยู่ที่บ้านนี้เช่นกัน
และวันหนึ่งขณะที่ฉันกำลังออนเอ็มอยู่กับคุณอรดีนั้น
‘เอ... หมู่นี้ดูคุณสุพูดถึงพี่เจ้าบ่าวบ่อยจังนะคะ’ คุณอรดีพูดอย่างหยอกล้อแต่ทำเอาฉันใบหน้าร้อนผ่าว
อยู่คนเดียวได้ชะงักนักหากยังปฏิเสธไปว่า
‘ก็เรื่องที่เล่ามันเกี่ยวกับเขานี่คะ’
‘ค่า... แต่เรื่องนี้คุณสุก็เล่ามาหลายรอบแล้วนะ’
‘เหรอคะ...’ ฉันก็แกล้งถามไปงั้นแหละเพราะรู้ตัวดีว่าระยะหลัง ๆ นี้รู้สึกจะพูดถึงอีตาพี่สามีของพี่มามากเหมือนกัน
เสียงรถที่แล่นมาจอดหน้าบ้านทำให้ฉันเหลียวมองออกไปยังทิศทางนั้นอย่างสงสัยทั้งทีรู้ดีว่าไม่อาจมองเห็นไปถึงรั้วบ้านได้ก็ตามก่อนจะหันกลับมาพิมพ์ข้อความบอกคุณอรดีไปว่า
‘เดี๋ยวมานะคะ’
ฉันลุกจากเก้าอี้เดินออกไปดูว่าใครมาแล้วก็จ๊ะเอ๋กับคุณสารินซึ่งกำลังก้าวเข้ามาในบ้านพอดี ดูเขาไม่
ค่อยแปลกใจเท่าไหร่ที่เห็นฉันอยู่โยงเฝ้าบ้าน เอ่อ... ก็ฉันไม่ค่อยออกไปไหนนี่นา... แต่ฉันสิแปลกใจทุกครั้งที่เขาแวะมาทั้งที่ตอนนี้มันกลายเป็นเรื่องปกติไปแล้วก็เถอะ
“เอ่อ... พี่วิทย์ไปข้างนอกกับพี่มาค่ะ” ฉันพูดถึงพี่เขยของฉันเองซึ่งออกไปธุระกับพี่สาวของฉันหวังว่าเขาจะรีบกลับแต่ส่วนลึกก็อยากให้อยู่นาน ๆ แปลกดีมั้ยล่ะ... เพียงแต่ไม่รู้จะคุยอะไรกับเขาเท่านั้นเอง
แล้วเขาก็พูดออกมาเสียงเรียบว่า
“ผมจะรอ”
ฉันจึงจัดการหาน้ำหาท่ามาต้อนรับเขาก่อนจะรีบไปสถิตอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ซึ่งก็ตั้งอยู่บนโต๊ะอีกฝั่งหนึ่งของห้องรับแขกทันทีโดยไม่พยายามใส่ใจกับสายตาคมกริบที่มองตามมาทุกฝีก้าวของแขกไม่ได้รับเชิญแม้มันจะทำให้ใจแกว่ง ๆ พิกล
‘เขามาค่ะ’ ฉันพิมพ์ข้อความบอกคุณอรดี
‘ใคร’ หล่อนถามมาทางเอ็มเอสเอ็นท่าทางจะงงจัดเพราะข้อความไม่มีที่มาที่ไปของฉัน
‘คุณสาริน’ ฉันรีบตอบกลับไป
‘อ๋อ... พี่เจ้าบ่าว’
แต่ฉันยังไม่ทันได้ตอบอะไรกลับไปอีกเสียงทุ้มต่ำของหัวข้อสนทนาก็ดังขึ้นมาใกล้ ๆ ในระยะประชิดว่า
“คุณไม่ยอมไปไหนก็เพราะออนเอ็มนี่นะ”
เขาอยู่ใกล้มาก... มากจนฉันสะดุ้งนิด ๆ ก่อนจะหันไปมองเขาซึ่งยืนอยู่ข้างเก้าอี้ที่ฉันนั่งอยู่จนต้องแหงนมองเขาเกือบคอตั้งบ่า แต่พอนึกได้ถึงเรื่องที่กำลังคุยกับคุณอรดีจึงรีบตะลีตะลานหันไปปิดเนตเพราะกลัวเขาจะเห็นข้อความเหล่านั้นนั่นเอง เอ... หรือเขาจะเห็นมันแล้วเนี่ย...
“คะ... คุณจะเอาอะไรอีกคะ?” ฉันถามตะกุกตะกักกะพริบตาปริบ ๆ หัวใจเต้นไม่เป็นส่ำ ก็จะไม่ให้ฉันรู้สึกระทึกในหัวอกได้ยังไงไหวในเมื่อเขาก้มลงมาคุยกับฉันโดยที่ใบหน้าหล่อ ๆ นั่นอยู่ใกล้จนได้กลิ่นลมหายใจอุ่น ๆ เป่ารดใบหน้าเลยทีเดียว
“คุณเริ่มมีตีนกาแล้วนะ ไม่คิดที่จะ...”
บ้า!... ฉันเพิ่งยี่สิบต้น ๆ นะยะจะมีตีนกงตีนกาได้ยังไงอีตานี่... แต่เขาเอ่ยยังไม่ทันจบประโยคหรอกเสียงห้าวของใครอีกคนก็ดังขึ้นตั้งแต่ตัวยังมาไม่ถึงด้วยซ้ำว่า
“สุ.. ฉันมีเรื่องจะคุยด้วย!...”
ฉัน และคุณสารินหันไปมองเจ้าของเสียงนั้นอย่างอยากรู้ทันทีด้วยความพร้อมเพรียง
พงษ์นั่นเองที่ก้าวเข้ามาพร้อมกับคำพูดประโยคดังกล่าวหลังจากที่เขาเงียบหายไปหลายวันเพราะเหตุ
การณ์บ้า ๆ ในวันนั้น แต่เมื่อเขาเห็นฉันอยู่กับคนอื่นก็ชะงักไปเล็กน้อยพร้อมด้วยแววตาที่แสดงถึงความระลึกได้
ว่าชายที่ยืนอยู่ข้างกายฉันนั้นเป็นใคร
“พงษ์มีอะไรหรือ” ฉันถามเพื่อทำลายบรรยากาศชวนอึดอัดใจนี้ แต่ไม่รู้ทำไมถึงต้องรู้สึกแบบนี้ด้วยนะ
“ขอฉันคุยกับเธอตามลำพังได้มั้ย”
ฉันเหลือบไปมองคนตัวโตที่ยืนอยู่ข้างกายนิดหนึ่งซึ่งเขาเดินจากไปยังชุดรับแขกแล้วตอนนี้อย่างรู้
กาลเทศะฉันจึงหันมาพยักหน้ารับกับพงษ์เบา ๆ แล้วก้าวนำเขาออกไปที่ระเบียงหน้าบ้านเงียบ ๆ
“พงษ์มีอะไรก็ว่ามาเถอะ” ฉันเริ่มเมื่อทรุดนั่งลงบนม้านั่งใต้ต้นมะม่วงหน้าบ้าน ไม่ยอมมองหน้าเขาเพราะรู้ดีว่าอีกฝ่ายมาด้วยเรื่องอะไร และยังเคืองเขาในเรื่องนั้นไม่หายนั่นเอง
“ฉัน... ฉันอยากจะขอโทษสุ... ระ... เรื่องวันนั้น” เขาเอ่ยน้ำเสียงเบาหวิวอย่างสำนึกผิดจริงจังจนฉันสงสารแต่ไม่ยอมใจอ่อนง่าย ๆ หรอกจนกว่าเขาจะรับปากว่าจะไม่ทำยังงั้นอีก
“พงษ์ต้องสัญญาก่อนว่าจะไม่มีเรื่องอย่างวันนั้นเกิดขึ้นอีกเด็ดขาด”
ใบหน้าเขาสลดวูบอย่างเห็นได้ชัดก่อนจะรีบเอ่ยละล่ำละลักว่า
“ได้สิ... สุไม่โกรธฉันแล้วนะ”
“ไม่แล้วล่ะ... ก็พงษ์เมานี่นา...” ฉันพยายามเอ่ยอย่างเข้าอกเข้าใจ แต่ทว่า...
“ไม่นะ!... เรื่องนั้นฉันพูดจริง ๆ นะ”
ทีนี้ฉันก็ได้แต่อ้าปากแล้วหุบด้วยกำลังอึ้งกิมกี่น่ะสิพลางมองเขาตาแทบถลนออกมานอกเบ้าอย่างกับคนถูกผีหลอก ฉันไม่เคยรู้ และไม่เคยสังเกตมาก่อนเลยกับความรู้สึกนี้ของพงษ์... แล้วภาพเมื่อครั้งที่เราทั้งสองยังเรียนอยู่มหาวิทยาลัยก็ผุดขึ้นมาคล้ายจะตอกย้ำความจริงนี้ยังงั้นแหละ...
มันเป็นวันฉลองที่โครงการอาสาพัฒนาของชมรมสำเร็จลุล่วงลงได้ด้วยดี มีการนำดิสโก้เทคชั่วคราวของมหาวิทยาลัยซึ่งก็คือไฟสปอร์ตไลท์สามสี และเครื่องเสียงนั่นแหละมาใช้ในงานรื่นเริง เพื่อน ๆ ทุกคนต่างกินดื่มกันอย่างเมามันส์สนุกสนาน บ้างก็ออกไปชักดิ้นชักงอโยกย้ายไปมาตามประสาวัยรุ่นสมัยนั้น แต่ฉันไม่ค่อยถนัดเรื่องพวกนี้จึงไม่ได้ร่วมวงด้วยเพียงนั่งดูอยู่เฉย ๆ เท่านั้น แต่พี่กบซึ่งเป็นเพื่อนคลาสเดียวกันกับฉัน และพงษ์แต่อายุมากกว่าเราหนึ่งปี และเราเรียกเขาว่าพี่ก็เข้ามาฉุดดึงให้ฉันเข้าไปเต้นกับคนอื่น ๆ ทั้งที่ฉันปฏิเสธไปแล้วจนหัวสั่นหัวคลอนแต่แกก็ยังไม่ยอมท่าเดียวจะให้ฉันออกไปเต้นยึกยักกับคนอื่น ๆ ให้ได้จึงเกิดการฉุดกระชากลากถูกันเล็กน้อยแต่ก่อนที่ฉันจะถูกพี่กบลากออกไปได้สำเร็จพงษ์ก็ร้องขึ้นมาน้ำเสียงโกรธกรุ่นว่า
“มึงอย่ายุ่งกับสุสิ!” ทำให้ทุกคนต่างมองไปที่เขาเป็นจุดเดียว และฉันก็ได้แต่สับสนกับการกระทำนั้นของพงษ์แต่ไม่เคยเก็บมาใส่ใจให้รกสมอง และดีที่วันนั้นไม่มีเรื่องร้ายแรงเกิดขึ้นเพราะพี่กบเองก็ไม่คิดเอาเรื่องเอาราวอะไร...
ฉันคิดแล้วก็ยิ่งปวดหัว เอาสิ!... บทมันจะมาก็มาพร้อม ๆ กัน.. เอ๋... พร้อมกันยังงั้นหรือแล้วอีกคนล่ะใคร... แล้วภาพของคนที่นั่งอยู่ในห้องรับแขกก็ผ่านเข้ามาในสมองอันมึนตึบของฉันทันที บ้าสิ!... ฉันด่าตัวเองในใจก่อนจะหันมาพูดกับพงษ์ว่า
“แต่ฉัน...” พลางกลืนน้ำลายอย่างฝืดคอเพราะคำพูดที่จะเอ่ยออกไปนี้อาจทำลายมิตรภาพระหว่างเราที่สั่งสมมานานปีก็ได้
“ขอบคุณนะพงษ์สำหรับความรู้สึกดี ๆ แต่ฉันไม่เคยคิดกับพงษ์มากกว่าความเป็นเพื่อนเลย”
ใบหน้าเขาซีดเผือดอย่างน่าใจหายปากก็ถามออกมาน้ำเสียงแห้งแล้งจนฉันรู้สึกผิดว่า
“ทำไมล่ะ”
จะให้ตอบยังไงล่ะก็ฉันไม่สามารถเปลี่ยนความรู้สึกจากเพื่อนเป็นอย่างอื่นได้นี่นา...
แต่แล้วเสียงคุ้นหูของใครคนหนึ่งก็ดังแทรกขึ้นมาว่า
“ก็บอกเขาไปสิว่าคุณกำลังจะลงจากคานเพราะผมเอาบันได้มาคอยรับอยู่น่ะ”
“หา!...” ฉันร้องขึ้นอย่างตกใจหันไปมองเจ้าของคำพูดนั้นงง ๆ อย่าว่าแต่ฉันเลยแม้แต่พงษ์เองยังทำหน้าแปลก ๆ คล้ายมึนหนักยิ่งกว่าไมค์ไทสันโดนน็อคกลางเวทีเสียอีก
“คุณว่าอะไรนะ?!” พงษ์ถามคุณสารินน้ำเสียงห้วนจัดจนฉันเกรงว่าจะเกิดเรื่อง ได้แต่มองคนนั้นทีคนนี้ทีอย่างปวดกระบาลสุด ๆ ร่ำ ๆ หาพาราเซตามอลสักสามสี่เม็ดแล้วเชียว
แทนที่เขาจะตอบคำถามของพงษ์กลับเดินเข้ามาใกล้ฉันแล้วรั้งร่างฉันเข้าไปโอบชิดมากขึ้นอย่างเป็นเจ้าข้าวเจ้าของปากก็ว่า
“ก็อย่างที่เห็น...” ในขณะที่ฉันกำลังงงเต๊ก และทำท่าจะขืนตัวออกมานั้นคุณสารินก็กระซิบกระซาบข้าง ๆ หูฉันเบา ๆ ว่า
“อยู่เฉย ๆ นะคุณเดี๋ยวเขาก็ไม่เชื่อหรอก”
เอ่อ... หมายความว่าจะช่วยฉันว่างั้นเถอะ... เอ... มันก็จริงของเขานะ... ฉันจึงได้แต่ยืนเป็นบ้าใบ้หุบปากสนิทปล่อยให้ผู้ชายสองคนจัดการกันเอาเองทั้งที่หายใจหายคอไม่ทั่วท้องแล้วตอนนี้
“อีกไม่นานก็คงจะมีข่าวดี”
นายสารินยังพูดไปเรื่อยในขณะที่ฉันตาโตมากกว่าเดิมหลายเท่ารีบหันขวับไปจ้องเขาอย่างเอาเรื่องอยู่ในทีแต่เขากลับแสร้งทำเป็นมองไม่เห็นเสียนี่ เอ่อ... ก็รู้สึกขอบใจอยู่หรอกนะที่อุตส่าห์ออกตัวมาช่วยแต่ไอ้ที่ว่าข่าวดีนี่น่ะมันหมายความว่าไงหว่า... มันออกจะมากเกินไปแล้วนะยะ...
“จริงเหรอสุ?” น้ำเสียงของพงษ์ฟังไม่ดีนักขณะหันมาถามฉันอย่างอ้อนวอนสุด ๆ แต่ฉันจำเป็นต้องโกหกเพื่อตัวเขา เขาจะได้เปิดโอกาสให้ตัวเอง และผู้หญิงที่จะเข้ามาในชีวิตเขาบ้างไม่ใช่มานั่งคอยฉันอย่างข้าวคอยฝนบนหน้าแล้งเหมือนที่ทำมาหลายปีดีดักโดยที่ฉันไม่ได้รับรู้ และเข้าใจความรู้สึกเขาหรือแม้แต่รู้สึกตรงกันกับเขาเลยแบบนี้
“อืมม์...” ฉันตอบเบา ๆ ไม่กล้าสบตาเพราะกลัวว่าพงษ์จะจับโกหกฉันได้
ใบหน้าของเขาซีดขาวราวกระดาษมากขึ้นเป็นเท่าทวีปากเม้มแน่นสนิทก่อนจะพึมพำอะไรสักอย่างฟังไม่ได้ศัพท์แล้วผลุนผลันจากไปทันที
“พงษ์...” ฉันร้องเรียกเขาแต่มันเป็นเพียงเสียงกระซิบเท่านั้น แม้ฉันจะอดกังวลใจในตัวเพื่อนรักไม่ได้แต่ก็ไม่สามารถปลอบใจหรือช่วยอะไรเขาได้ในยามนี้ มีเพียงตัวพงษ์เท่านั้นที่จะช่วยตัวเองได้ และเมื่อถึงวันนั้นเชื่อว่าพงษ์คงเข้าใจฉันมากขึ้น และเราจะกลับมาเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันได้เหมือนก่อน หรือเปล่านะ...
“ขอบคุณนะคะ” ฉันหันมาเอ่ยกับคุณสารินเมื่อทุกอย่างสงบลงแล้ว
คิ้วเข้มของเขายกขึ้นสายตามองมาที่ฉันอย่างมีเลศนัยปนความเจ้าเล่ห์บางอย่างในแบบฉบับที่ฉันไม่เคยเห็นเขาทำมาก่อนจนอดรู้สึกหวั่นใจไม่ได้
“ทำไมต้องขอบคุณล่ะในเมื่อคนที่ควรขอบคุณที่คุณอุตส่าห์ลงมาจากคานควรเป็นผม”
“เอ๋...” ฉันร้องออกมาอย่างกับยัยบ้าปัญญาอ่อนมองเขาตาค้างอย่างไม่เข้าใจจริง ๆ อะไรอีกล่ะเนี่ย...
“นัดวันมาเลยแล้วกัน หมั้นวันไหน แต่งเมื่อไหร่ดี”
คำพูดประโยคนั้นของเขายิ่งทำให้ฉันมึนหนักยิ่งกว่าโดนอัดเข้าที่ท้ายทอย หัวใจหล่นไปกองอยู่ที่ตาตุ่มแล้ว อะไรหว่า...
“คะ?...”
“ก็คุณน่ะเริ่มมีตีนกาแล้วนะควรคิดเรื่องแต่งงานมีครอบครัวได้แล้ว และจะว่าไงถ้าผมจะสมัครตำแหน่งนี้น่ะ”
ทีนี้ฉันก็อ้าปากค้างน่ะสิ... โอ๊ย!... ฉันจะบ้าตาย... ทำไมมามัดมือชกกันยังงี้ล่ะ... แต่แหม... ถึงจะมึนนิดงงหน่อยหากหัวใจก็แอบรู้สึกอบอุ่นขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้แฮะ แต่เขาไม่มีวิธีพูดที่ดีกว่านี้หรือยังไงนะจะอ้างอะไรก็อ้างไปสิทำไมต้องมาพูดเรื่องตีนกงตีนกาด้วยเล่าโธ่เอ๊ย...
“ว่าไงล่ะเที่ยวสุดท้ายแล้วนะคุณ...” เขาถามมาน้ำเสียงดูหงุดหงิดเล็กน้อยหากใบหน้าคมสันนั้นราวกับมีสีแดงแต่งแต้มอยู่สองข้างแก้มสาก เอ... หรือว่าฉันจะตาฝาดหว่า... แต่มันก็มากพอที่จะทำให้ฉันแอบยิ้มขำเขาได้ล่ะน่า
แต่เอ๊ะ... ถ้าฉันลงจากคานก็ต้องแต่งงานแล้วก็มีครอบครัว หน้าที่ และความรับผิดชอบก็ต้องเพิ่มขึ้นทีนี้ความฝันที่จะเป็นนักเขียนต้องลอยห่างออกไปอีกสิ... โหยทำไงดีล่ะ...
“คิดมากจังนะคุณ”
ฉันหันไปมองเขาอย่างตกใจเล็กน้อยเพราะเขาพูดราวกับอ่านใจฉันได้ยังงั้นแหละ เอ... แล้วนี่ฉันจะปฏิเสธคนที่รู้ใจได้ลงคอเชียวหรือจึงได้แต่ยิ้มแล้วว่า
“ค่ะ”
เขาเลยยิ้มกว้างมากขึ้นแล้วว่า
“งั้นหมั้นเช้าแต่งเย็นไม่ต้องรอแต่งเป็นเดือนเหมือนเจ้าวิทย์มันหรอกนะ”
เอ๋... ตอนพบกันครั้งแรกฉันเห็นว่าเขาดูมาดขรึมใจเย็นได้ไงนะ... แต่อีตานี่ยังไม่ได้บอกรักฉันเลยสักคำพูดแต่เรื่องหมั้นเรื่องแต่งจะไว้ใจได้หรือเปล่าเนี่ย... ฉันจึงรีบแย้งน่ะสิว่า
“ไม่ใช่ค่ะ... ฉันหมายถึงให้คบกันไปก่อนต่างหากล่ะคะ” ก็จริงนี่นาฉันยังไม่อยากแต่งงานมีครอบครัวแต่จะปล่อยเขาไปหัวใจมันก็รู้สึกเจ็บปวดขึ้นมาซะยังงั้นจึงทำได้แค่คบหาดูใจกันไปก่อนเท่านั้นเอง
เขาทำหน้าเคร่งอย่างผิดหวังนิด ๆ แต่ไม่มากมายอะไรนักก่อนถามมาหน้าตายว่า
“อาทิตย์หนึ่งพอมั้ย”
“บ้าสิ!... อย่างน้อยต้องปีหนึ่งค่ะ”
“เดือนหนึ่งเอ้า...”
นี่มันไม่ใช่การซื้อขายนะยะมาต่อรองอยู่ได้... แต่ฉันก็ต่อให้อีกว่า
“หกเดือนเอาไม่เอา”
“งั้นสามเดือนแล้วกัน”
เฮ้อ... เอาเถอะดีกว่าขึ้นคานล่ะนะ
“ก็ได้ค่ะสามเดือนถ้าไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงค่อยมาว่ากันอีกที”
เขายิ้มในหน้าก่อนจะก้มลงมาชิดใบหน้าฉัน และเพราะฉันมัวแต่งงไม่เข้าใจว่าเขาจะทำอะไรริมฝีปาก
กระด้างหากอบอุ่นของเขาก็แตะแต้มลงบนนวลแก้มของฉันแล้วอย่างรวดเร็วจนไม่ทันตั้งตัวด้วยซ้ำ ฉันรีบหัน
ขวับมามองตัวการอย่างเอาเรื่อง ก็ไม่เคยให้ใครมาหอมแก้มยังงี้นี่นา... ในขณะที่เขากลับหัวเราะหึ ๆ ในลำคออย่างชอบใจ
เฮ้อ!... เอาน่าแม้ชีวิตจะเปลี่ยนไปบ้างเพราะมีคนร่วมทางเพิ่มขึ้นอีกคนก็คงไม่หนักหนาอะไรหรอกมั้ง คุณอรดียังเคยบอกเลยว่าการแต่งงานจะทำให้เห็นโลกอีกมุมหนึ่งซึ่งกว้างขึ้นอาจมีทั้งเรื่องดี และไม่ดี จะคิดมากไปไยในเมื่อวันนั้นยังมาไม่ถึงคิดเฉพาะวันนี้ก็หนักหนาพออยู่แล้วนี่นะ...
‘เย้... เรื่องสั้นที่ส่งประกวดได้เข้ารอบแล้วค่ะ’
ฉันรีบออนเอ็มแจ้งข่าวให้คุณอรดีทราบทันทีเมื่อเข้าไปดูในเวบไซด์ซึ่งจัดประกวดเรื่องสั้นรักหวานที่ตัวเองส่งเข้าประกวดกับเขาหนึ่งเรื่องนั้นมีเรื่องของฉันติดอันดับกับคนอื่นด้วย
‘เห็นแล้วค่ะ (เพิ่งเข้าไปเมื่อกี้) ดีใจด้วยนะค่ะ’ คุณอรดีตอบกลับมา ก่อนจะส่งข้อความมาอีกว่า
‘อืมม์... งานเขียนครั้งนี้ดูมีความอ่อนหวานของความรักปนมาด้วยไม่เหมือนเรื่องก่อน ๆ ที่แห้งแล้งยังไงไม่รู้หรือจะเป็นเพราะคุณพี่เจ้าบ่าวคนนั้นคะ (มีแซว ๆ)’
แต่ถึงจะแค่แซวเล่น ๆ ก็เถอะมันกลับทำเอาฉันร้อนผ่าวไปทั้งดวงหน้าเลยทีเดียว... ก็เพราะมันจริงอย่างที่คุณอรดีว่ามาน่ะสิ... อืมม์... การมีคนรักก็ดีเหมือนกันแฮะ แม้บางครั้งจะทะเลาะกันบ้างไม่เข้าใจกันนิดแต่ก็เป็นรสชาติชีวิตอีกแบบหนึ่งที่น่าค้นหา
‘แล้วจะแต่งกันวันไหน’ คุณอรดียังล้อไม่เลิกฉันจึงตอบกลับไปว่า
“ว้าย!... อีกนานค่ะ...”
‘ระวังคุณสารินเปลี่ยนใจเพราะรอไม่ไหวนะคะแหะ ๆ ’
‘แอบกระซิบค่ะว่าเดี๋ยวเขาจะมา’
‘โห... รักกันจริงนะ’
แล้วอึดใจต่อมาเสียงรถของสารินก็ดังขึ้นหน้ารั้วบ้านก่อนที่มันจะเงียบหายไปเมื่อเครื่องยนต์จอดสนิท ฉันรีบเคาะแป้นพิมพ์สี่ห้าครั้งกรอกข้อความลงไปว่า
‘มาแล้วค่ะ ต้องไปก่อนนะคะ’
‘ค่า... ขอฟังข่าวดีนะคะคราวหน้าน่ะ’ คุณอรดีตอบกลับมาอย่างอารมณ์ดีพลอยทำให้ฉันยิ้มหัวไปด้วยเพราะความสุขใจ
‘ค่ะ บายนะคะ’ แล้วฉันก็ออฟไลออกมาทันทีก่อนจะหันไปยิ้มรับผู้ชายที่กำลังเข้ามามีความสำคัญทั้งในชีวิต และหัวใจของฉันในเวลานี้ซึ่งเขาก้าวเข้ามาในบ้านแล้วนั่นเอง
แต่สีหน้าเครียดจัดของเขามันทำให้รอยยิ้มของฉันหดหายไปพร้อมกับหัวใจเต้นเป็นจังหวะร็อคเพราะความวิตกกังวลบนสีหน้าของเขา
“สุเราเองก็คบกันมาจนครบสามเดือนแล้วนะ”
อะไรล่ะ... หน้าตาซีเรียสซะขนาดนี้พลอยทำให้ฉันเครียดไปด้วยเลยอย่าบอกนะว่า... ผมเปลี่ยนใจจะส่งคุณกลับไปบนคานแล้วล่ะ... แค่คิดก็ปวดหนึบในใจขึ้นมาแล้ว เป็นเอามากรึเปล่าหว่าเรา...
“คะ?...”
“สามเดือนนี้ถือว่าเป็นเวลาที่น้อยนิดเหลือเกินที่คนสองคนจะทำความรู้จักกัน แต่ผมก็เห็นอะไรหลายอย่างในตัวเราสองคน เช่นคุณชอบอิสระ และมีความตั้งใจสูงที่จะเป็นนักเขียนให้ได้ในขณะที่ผมก็ชอบงานประจำที่ทำอยู่ และอะไรที่เป็นแบบแผนซึ่งมันทำให้เราแตกต่างกันมากนะ...”
เขากระแอมกระไออย่างกับมีอะไรติดคอยังงั้นแหละ แล้วนี่ฉันจะรู้เรื่องมั้ยเนี่ย... ยิ่งหายใจหายคอไม่ทั่วท้องแล้วนะตอนนี้... ในที่สุดเขาก็พูดออกมาอีกว่า
“แต่ถึงอย่างนั้นผมก็รักคุณนะ...”
แหมอีตาบ้านี่เล่นเอาฉันใจหายใจคว่ำหมด... ฉันคิดแล้วแอบโล่งอกกับตัวเองเพียงลำพัง
แล้วเขาก็จ้องมาในดวงตาฉันนิ่งนานจนหัวใจฉันเต้นถี่กระชั้นขึ้นมากกว่าเดิมหลายเท่าเพราะความสุขใจระคนดีใจหลังจากเพิ่งใจหายไปหยก ๆ ในขณะที่เขายังพูดอีกว่า
“ตกลงแต่งงานกันนะ” ใบหน้าที่เคยขรึมจัดแดงระเรื่อขึ้นมาอย่างน่าขัน แต่ก็น่ารักดีแฮะ...
“แต่ฉันยังไม่ได้เป็นนักเขียนอย่างที่หวังเลยนะ แล้วถ้าแต่งงานไปอาจไม่มีเวลาเหมือนตอนนี้” ถึงคราวฉันบ้างล่ะทีนี้...
“หมายความว่า...”
เขาทำหน้าเคร่งเครียดอีกแล้วแต่มันก็ยังดูดีอยู่เสมอสำหรับฉันแล้วจะปล่อยเขาให้หลุดมือไปได้ยังไงล่ะ ฉันจึงพูดขึ้นอีกว่า
“แต่อย่างน้อยตอนนี้ก็ก้าวหน้าไปแล้วหนึ่งก้าวค่ะ ฉะนั้นหาประสบการณ์จากการแต่งงานเพิ่มเติมสักหน่อยไม่แน่อาจได้เป็นนักเขียนชื่อดังจากประสบการณ์ชีวิตใหม่นี้ก็ได้ใครจะรู้จริงมั้ย”
ใบหน้าคมสันของเขาเท่าที่ฉันมองออกน่ะนะมันค่อย ๆ ผ่อนคลายเมื่อเริ่มซึมซับคำพูดของฉันทีละน้อย ๆ ก่อนที่เขาจะหัวเราะออกมาเสียงดังอย่างมีความสุขแล้วเข้ามาสวมกอดฉันเอาไว้ทั้งตัวจนฉันรู้สึกอึดอัดนิด ๆ กับแรงกอดจากอ้อมแขนคู่นั้นแต่มันให้ความรู้สึกดีจนไม่อยากเอ่ยปากห้ามจึงยอมอยู่ในอ้อมกอดของเขานิ่ง ๆ
“แต่ไม่รู้พี่มากับพี่วิทย์น้องชายคุณจะว่าไงนะ” ฉันตั้งคำถามซึ่งมันไม่สำคัญนักหรอกเพราะดูเหมือนทุกคนจะรู้เรื่องของเราแล้วตอนนี้
“ไม่สำคัญเลย...”
เอ๊ะ... เขาพูดคล้ายกับอ่านใจฉันได้อีกแล้วล่ะ แต่มันก็จริงน่ะนะเพราะเรื่องของหัวใจมันไม่เกี่ยวกับใคร
อื่น และกว่าจะเจอคนของหัวใจคนนี้ก็เกือบต้องไปนั่งบนคานแล้วสิเรื่องอะไรจะยอมปล่อยไปง่าย ๆ ล่ะจริงมั้ย...
    “ใช่ค่ะไม่สำคัญเลย...” ฉันตอบอู้อี้เมื่อเขาก้มลงจูบอย่างอ่อนหวานบนริมฝีปากของฉันเนิ่นนานจนร้อนผ่าวไปทั้งตัวพลอยให้จิตใจอบอุ่นเต็มเปี่ยมด้วยรักนั้นล่องลอยไปไกลอย่างเป็นสุข และรู้สึกปลอดภัยภายใต้วงแขนที่โอบประคองฉันเอาไว้ของเขาคนนี้...
.........................................................................................................
ขอบคุณสำหรับทุก ๆ คำติชมสำหรับเรื่องสั้นเรื่องนี้ แหะ ๆ วิจารณ์ได้ถูกทีเดียวค่ะเพราะเรื่องนี้คนเขียน ๆ ด้วยอารมณ์ขัด ๆ เขิน ๆ นิด ๆ ยังไม่มีเวลารีไรท์ในตอนนี้เอาไว้ว่าง ๆ ก่อนก็แล้วกันนะคะ^^
ข้อความที่โพสจะต้องไม่น้อยกว่า {{min_t_comment}} ตัวอักษรและไม่เกิน {{max_t_comment}} ตัวอักษร
กรอกชื่อด้วยนะ
_________
กรอกข้อมูลในช่องต่อไปนี้ไม่ครบ
หรือข้อมูลผิดพลาดครับ :
_____________________________
ช่วยกรอกอีกครั้งนะครับ
กรุณากรอกรหัสความปลอดภัย
ความคิดเห็น